- All
- การจัดส่ง
- การชำระเงิน
- การรับประกันสินค้า
- การสั่งซื้อ
- พื้นรองเท้า
- วัสดุที่ใช้ในการผลิตรองเท้า
- วิธีทำความสะอาด
- ส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้า
- ออเดอร์สั่งทำพิเศษ
- เปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพเท้าอื่นๆ
ส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้า เป็นบริเวณตรงกลางพื้นรองเท้าที่นูนขึ้นมารองรับส่วนโค้งเว้าของฝ่าเท้า มีคุณสมบัติช่วยกระจายน้ำหนักและแรงกดของร่างกายไปให้ทั่วเท้า ไม่ไปรวมศูนย์อยู่ที่ส้นเท้าและฝ่าเท้าด้านหน้ามากจนเกินไป อีกทั้งยังช่วยค้ำอุ้งเท้าเราให้เป็นสมมาตรกับแนวกระดูกสันหลัง (spinal alignment) ไม่ให้บิดเข้าด้านใน (over-pronation; collapsed arch; fallen arch) หรือที่เรียกกันว่า “เท้าแบน” อันเป็นภาวะที่นำมาซึ่งอาการเข่าบิด (knocked knees) และแนวกระดูกสันหลังบิดเบี้ยว (spinal alignment) อันเป็นสาเหตุของอาการปวดข้อ ปวดหลังส่วนเอวเรื้อรังได้
อุ้งเท้าของแต่ละคนนั้นอาจจะมีลักษณะที่ต่างกัน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่
- อุ้งเท้าแบน (Flat Foot)
- อุ้งเท้าปกติ (Normal Foot)
- อุ้งเท้าโก่งสุง (High-Arch Foot)
ส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้าที่เหมาะสมกับอุ้งเท้าแต่ละประเภทนั้น จะมีความนูนที่แตกต่างกันไป (ดังนั้น ความเชื่อที่ว่าส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้ายิ่งนูนยิ่งดีนั้น จึงเป็นความเชื่อที่ผิด) ทาง Klas & Sylph เข้าใจดีถึงจุดนี้ เราจึงมีส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้าให้ท่านเลือกถึง 3 ระดับ (นูนต่ำ, นูนปานกลาง, นูนสูง) โดยที่ท่านสามารถอ่านรายละเอียดและคำแนะนำเพิ่มได้ในหน้า “ประโยชน์ต่อสุขภาพ” ของรองเท้า Klas & Sylph หรือ ดูคำตอบของคำถามพบบ่อยต่อไปนี้ค่ะ
อุ้งเท้าของแต่ละคนนั้จะมีลักษณะที่ต่างกัน สามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 3 ประเภท คือ
- อุ้งเท้าแบน (Flat Foot)
- อุ้งเท้าปกติ (Normal Foot)
- อุ้งเท้าโก่งสูง (High-Arch Foot)
วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะดูว่าเท้าของเรานั้นเป็นประเภทไหน คือ การวางเท้าเปล่าราบกับพื้น แล้วส่องกระจกเพื่อดูส่วนโค้งเว้าใต้เท้า หรืออาจจะใช้วิธีพิมพ์รอยเท้า เช่น ทำให้อุ้งเท้าเปียก (แต่ไม่เปียกมากจนเกินไป) แล้วเหยียบลงบนกระดาษสีน้ำตาล แล้วนำรอยเท้าบนกระดาษมาเทียบกับภาพด้านล่างว่ามีลักษณะที่คล้ายกับรูปใด
แน่นอนว่าท่านสามารถขอคำปรึกษาจากแพทย์ด้านศาสตร์กล้ามเนื้อและกระดูก (ออร์โธปิดิกส์; orthopaedics) เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะของอุ้งเท้าของท่านได้ด้วยเช่นกัน
รองเท้า Klas & Sylph มีความนูนของส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้าอยู่ 3 ระดับ โดยที่ความนูนแต่ละระดับมีความเหมาะสมที่จะรองรับอุ้งเท้าประเภทที่แตกต่างกันไป
โดยทั่วไป เราจะแนะนำให้ลูกค้าเลือกส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้าตามประเภทอุ้งเท้าของลูกค้า กล่าวคือ
- อุ้งเท้าแบน (Flat Foot) – เหมาะกับส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้าที่มีความนูนต่ำ
- อุ้งเท้าปกติ (Normal Foot) – เหมาะกับส่วนซัพพอร์อุ้งเท้าที่มีความนูนปานกลาง
- อุ้งเท้าโก่งสูง (High-Arch Foot) – เหมาะกับส่วนซัพพอร์อุ้งเท้าที่มีความนูนสูง
อย่างไรก็ตาม คำแนะนำข้างต้นไม่ไช่คำแนะนำที่ตายตัว ที่ผ่านมาก็มีลูกค้าบางท่านที่มีอุ้งเท้าแบน แต่เลือกพื้นรองเท้าที่มีส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้าความนูนระดับปานกลางเช่นกัน ทั้งนี้ทั้งนั้น ลูกค้าเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่คุ้นเคยกับการใส่รองเท้าสุขภาพประเภทที่มีส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้า หรือเคยใช้แผ่นรองรองเท้าที่มีส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้ามาก่อนอยู่แล้ว ดังนั้น หากท่านเป็นผู้ที่มีอุ้งเท้าแบน และไม่เคยใช้แผ่นรองรองเท้าหรือรองเท้าที่มีส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้ามาก่อน ทางเราขอแนะนำให้ท่านเริ่มใส่รองเท้า Klas & Sylph ที่มีส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้าความนูนต่ำก่อนค่ะ
แต่หากท่านต้องการที่จะเลือกใส่รองเท้า Klas & Sylph ที่มีส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้าความนูนปานกลางจริงๆ ท่านอาจจะเกิดอาการเจ็บหรือไม่สบายเท้าเล็กน้อยในช่วงแรก เนื่องจากเป็นช่วงที่อุ้งเท้าของท่านกำลังปรับตัว ดังนั้น สิ่งที่ท่านควรทำคือ เริ่มใส่รองเท้าเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ก่อน (ไม่ควรหักโหมใส่เดินทั้งวันตั้งแต่แรก) และใส่สลับกับรองเท้าปกติ (ที่ไม่มีส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้า หรือ มีส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้าความนูนต่ำ) จากนั้นจึงค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลาในการใส่ให้นานขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้อุ้งเท้าของท่านได้ปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยปกติแล้ว ระยะเวลาในการปรับเท้านั้นจะใช้เวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ค่ะ
ในหน้า “สินค้า” แต่ละรุ่น เรามีระบุระดับความนูนของส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้าของรองเท้ารุ่นนั้นๆไว้ด้วย ดังนั้น ท่านสามารถตรวจสอบรายละเอียดของสินค้าก่อนที่จะดำเนินการสั่งซื้อได้ว่า มีระดับความนูนของส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้าตามที่ท่านต้องการหรือไม่ค่ะ
เนื่องจากอุ้งเท้าของแต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกัน บางท่านอุ้งเท้าแบน บางเท้าอุ้งเท้าปกติ ในขณะที่บางท่านอุ้งเท้าโก่งสูง ดังนั้น ระดับความนูนของส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้าที่ท่านควรใส่นั้น ควรมีความสัมพันธ์กับลักษณะอุ้งเท้าของท่านเอง เช่น ถ้าอุ้งเท้าปกติ ก็ควรใส่รองเท้าที่มีส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้าที่มีความนูนระดับกลาง ไม่ใช่ระดับสูง เพื่อที่ท่านจะรู้สึกสบายเท้าได้มากที่สุด
ท่านสามารถอ่านรายละเอียดและคำแนะนำเพิ่มได้ในหน้า “ประโยชน์ต่อสุขภาพ” ของรองเท้า Klas & Sylph หรือ ดูคำตอบของคำถามพบบ่อยต่อไปนี้ค่ะ
ผู้ที่มีอุ้งเท้าแบนบางท่านสามารถใส่รองเท้ารุ่นที่มีส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้าความนูนปานกลางได้ แต่ท่านอาจจะเกิดอาการเจ็บหรือไม่สบายเท้าเล็กน้อยในช่วงแรก เนื่องจากเป็นช่วงที่อุ้งเท้าของท่านกำลังปรับตัว ดังนั้น สิ่งที่ท่านควรทำคือ เริ่มใส่รองเท้าเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ก่อน (ไม่ควรหักโหมใส่เดินทั้งวันตั้งแต่แรก) และใส่สลับกับรองเท้าปกติ (ที่ไม่มีส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้า หรือ มีส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้าความนูนต่ำ) จากนั้นจึงค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลาในการใส่ให้นานขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้อุ้งเท้าของท่านได้ปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ทั้งนี้ หากท่านไม่เคยใช้แผ่นรองรองเท้าหรือรองเท้าที่มีส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้ามาก่อน ทางเราขอแนะนำให้ท่านเริ่มใส่รองเท้า Klas & Sylph ที่มีส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้าความนูนต่ำก่อน เพราะโดยทั่วไปการเลือกส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้าที่สัมพันธ์ หรือเหมาะสมกับประเภทของอุ้งเท้าตัวเองจะดีที่สุดค่ะ :)
คำเตือน: เราไม่แนะนำให้ท่านใช้ส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้าความนูนสูง เพราะมีความเป็นไปได้สูงที่ท่านจะเกิดอาการไม่สบายเท้า หรือ เจ็บอุ้งเท้าได้
ท่านสามารถอ่านรายละเอียดและคำแนะนำเพิ่มได้ในหน้า “ประโยชน์ต่อสุขภาพ” ของรองเท้า Klas & Sylph หรือ ดูคำตอบของคำถามพบบ่อยต่อไปนี้ค่ะ
ผู้ที่มีอุ้งเท้าปกตินั้นสามารถใส่ส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้าได้ทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้าความนูนต่ำ ความนูนปานกลาง หรือความนูนสูง แล้วแต่ว่าชอบและรู้สึกสบายเท้ากับความนูนแบบไหนเป็นพิเศษค่ะ :)
โดยทั่วไปแล้ว ท่านที่มีอุ้งเท้าโก่งสูงควรใช้รองเท้า Klas & Sylph ที่มีส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้าความนูนสูงจะดีที่สุดค่ะ :)
แต่หากอยากชอบรุ่นที่มีส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้าความนูนระดับกลาง ก็สามารถใส่ได้เหมือนกัน แต่อาจจะสบายสู้แบบที่มีส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้าความนูนสูงไม่ได้ค่ะ
แต่เราไม่แนะนำให้ใส่รุ่นที่มีส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้าความนูนต่ำนะคะ เพราะความนูนของส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้าจะต่ำเกินไปจนไม่สามารถช่วยการกระจายน้ำหนักและแรงกดของร่างกายเพื่อลดอาการปวดฝ่าเท้า ปวดส้นเท้า ตามบทบาทที่ส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้าควรจะเป็นได้
หากท่านต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ท่านสามารถอ่านรายละเอียดได้ในหน้า “ประโยชน์ต่อสุขภาพ” ของรองเท้า Klas & Sylph และ/หรือ ดูคำตอบของคำถามพบบ่อยต่อไปนี้ค่ะ
อาการที่มักพบในผู้ที่มีภาวะเท้าบิดเข้าด้านใน (over pronation; collapsed arch) หรือมีอาการ “เท้าแบน” ก็คือ เมื่อยขาง่าย เจ็บที่อุ้งเท้า อุ้งเท้าบวม เคลื่อนไหวเท้าลำบาก ปวดหลังและขา และสาเหตุหลัก ๆ ก็มาจากรูปทรงของเท้าที่ไม่เป็นสมมาตรกับแนวกระดูกสันหลัง ทำให้ข้อกระดูกและกล้ามเนื้อบางส่วนต้องรับน้ำหนักตัวมากเกินกว่าที่ควรตามธรรมชาติ และเนื่องจากโครงสร้างและการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อและกระดูกร่างกายมีการเชื่อมต่อกันหมด (kinetic chain) หากปล่อยไว้ไม่รักษาหรือปรับให้กลับมาอยู่ในสภาวะปกติ ก็จะทำให้เกิดภาวะข้อเข่าบิด (knocked knees) และแนวกระดูกสันหลังบิดเบี้ยว (spinal misalignment) และนำมาซึ่งอาการปวดหลังและปวดข้อต่าง ๆ แบบเรื้อรังได้ในที่สุด
วิธีการป้องกัน หรือบรรเทาก็คือ การใส่รองเท้าที่มีส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้า ส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้าจะช่วยปรับอุ้งเท้าให้อยู่ในอยู่ในภาวะที่เหมาะสม หรือพูดอีกในก็คือจะช่วยค้ำอุ้งเท้าไม่ให้อ่อนแรงจนดูเหมือนบิดเข้าด้านในนั่นเอง
และแน่นอนว่า รองเท้า Klas & Sylph ของเราถูกผลิตมาเพื่อการนี้อยู่แล้ว ฉะนั้นจึงเหมาะสมแก่ผู้ที่มีอาการเท้าบิดเข้าด้านในแน่นอนค่ะ :)
แผ่นรองพื้นรองเท้าที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วไป มีข้อดีคือ สามารถใช้กับรองเท้าที่ท่านมีอยู่ได้ ทำให้รองเท้าปกติทั่วไปมีส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้า ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้เท้าของท่านรู้สึกสบายมากขึ้น
แต่การจะหาแผ่นรองพื้นรองเท้าที่พอดีกับสัดส่วนของรองเท้าที่ท่านมีอยู่นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย และสามารถช่วยได้เพียงการซัพพอร์ตอุ้งเท้า แต่ไม่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความนุ่มของพื้นรองเท้าได้เลย อีกทั้งแผ่นรองพื้นรองเท้าบางยี่ห้อยังมีราคาที่สูงมาก
พื้นรองเท้า Klas & Sylph ทุกคู่นั้นมีส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้า และฮีลคัพ ที่เหมาะสมกับสรีระเท้า ประกอบกับพื้นรองเท้ามีความนุ่มที่แน่นกระชับ มีความยืดหยุ่นสูง และมีความสามารถในการดูดซับแรงกระแทกจากการเดินได้อย่างดีเยี่ยม รองเท้า Klas & Sylph ได้รวมคุณสมบัติเพื่อสุขภาพเท้าที่ดีไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ในขณะเดียวกันก็ได้วางจำหน่ายในราคาคนส่วนใหญ่เข้าถึง เป็นราคาที่อาจจะต่ำกว่าแผ่นรองพื้นรองเท้าบางยี่ห้อด้วยซ้ำไป
คำว่า “รองเท้าสุขภาพ” จริงๆสามารถนิยามได้หลายแบบ และที่ผ่านมาก็มีผู้เล่นในตลาดมากมาย ที่นำเสนอสินค้าตัวเองว่าเป็นรองเท้าสุขภาพ ซึ่งบ้างก็เป็นจริงตามที่พูด บ้างก็เป็นแค่การกล่าวอ้างลอยๆ ดังนั้น เราจึงควรมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า รองเท้าสุขภาพ ในตลาดปัจจุบัน มีแบบไหนบ้าง
ในฐานะผู้บริโภค หากใครมานำเสนอขายรองเท้าสุขภาพให้แก่ท่าน คำถามที่ท่านควรจะถามก่อนตัดสินใจซื้อทุกครั้ง คือ “รองเท้าสุขภาพยี่ห้อนี้ดีต่อสุขภาพอย่างไร?”
คำตอบที่หลายๆท่านอาจจะเคยได้ยินกันบ่อยๆ คือ “เพราะใส่สบาย” …. คำตอบแบบนี้ถือว่าใช้ไม่ได้นะคะ เพราะถึงแม้ว่ารองเท้าสุขภาพจะใส่สบาย แต่รองเท้าที่ใส่สบาย ก็ไม่ได้แปลว่าจะเป็นรองเท้าสุขภาพนะคะ หากท่านได้รับคำตอบแบบนี้ ให้สรุปไว้ก่อนเลยว่า รองเท้าที่ตัวแทนขายคนนั้นพยายามเสนอขายให้กับท่านนั้น เป็นแค่รองเท้าทั่วไป ไม่ใช่รองเท้าสุขภาพค่ะ
คำตอบที่ดีขึ้นมาหน่อย ก็คือ “เป็นรองเท้าที่มีหน้าเท้ากว้าง” ซึ่งเป็นรองเท้าที่เหมาะกับผู้ที่มีกระดูกเท้าโปน (bunion) อันเป็นอาการที่มักจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ใส่รองเท้าส้นสูงมาเป็นประจำเป็นเวลานานหลายปี รองเท้าที่เหมาะสมกับผู้ที่มีกระดูกเท้าโปนก็คือรองเท้าที่มีหน้าเท้ากว้าง เพราะจะไม่บีบเท้าบริเวณที่กระดูกโปนออกมาค่ะ
อย่างไรก็ตาม รองเท้าที่มีหน้าเท้ากว้างอย่างเดียว แต่ไม่มีคุณสมบัติอื่นๆมาเสริม ก็ไม่สามารถตอบโจทย์เพื่อสุขภาพเท้าที่ดีอื่นๆได้ จึงอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะสมกับผู้ที่ไม่ได้มีกระดูกเท้าโปนเท่าไหร่ค่ะ
รองเท้าสุขภาพประเภทถัดไปก็คือ “รองเท้ากีฬา” แน่นอนว่า เราใส่รองเท้ากีฬาเพื่อออกกำลังกาย และการออกกำลังกายก็ถือเป็นกิจกรรมที่ดีต่อสุขภาพอยู่แล้ว อีกทั้งยังเป็นรองเท้าที่มีความสามารถในการรองรับแรงกระแทกสูง (high shock absorption) รองเท้ากีฬาจึงจัดเป็นรองเท้าสุขภาพอย่างไม่ต้องสงสัย หากแต่จะมีข้อจำกัดบ้างก็ตรงที่ รองเท้ากีฬาส่วนใหญ่จะไม่มีส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้า และ บางรุ่นบางยี่ห้อก็อาจจะมีขนาดใหญ่เทอะทะ ไม่เหมาะกับการใส่ในบางโอกาสค่ะ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีรองเท้าประเภทใหม่ที่เรียกว่า “รองเท้าโทนนิ่ง” (toning shoes) ที่ถูกนำเสนอว่า แค่ใช้ใส่เดิน ก็สามารถช่วยให้ขาเรียวขึ้น บั้นท้ายตึงขึ้นได้ รองเท้าโทนนิ่งบางยี่ห้อขายดีมากโดยเฉพาะในบ้านเรา แต่สุดท้ายรองเท้าโทนนิ่งเหล่านี้ก็โดนดำเนินคดีแบบกลุ่ม (class action lawsuit) ในประเทศอเมริกา ด้วยข้อหาโฆษณาเกินจริง และก็บริษัทเหล่านี้ก็ตกลงยอมความกันแทบจะทุกเจ้า เรื่องจริงก็คือ ยังรองเท้าประเภทนี้ยังไม่มีบทวิจัยอิสระใดๆที่ให้การรับรองสรรพคุณเพื่อการออกกำลังกายกล้ามเนื้อขาและบั้นท้ายตามที่บริษัทเหล่านี้กล่าวอ้างเลย
แล้วรองเท้า Klas & Sylph เป็นรองเท้าประเภทไหนล่ะ? รองเท้า Klas & Sylph ไม่ถูกจัดอยู่ในหมวดรองเท้าใดๆตามที่เกริ่นมาข้างต้นเลย หากแต่เป็นรองเท้าสุขภาพประเภทออโธปิดิกส์ (orthopaedics) หรือก็คือรองเท้าสุขภาพที่อิงศาสตร์กล้ามเนื้อและกระดูก อันเป็นศาสตร์ที่มีมานานกว่า 50 ปีแล้ว
รองเท้าสุขภาพประเภทออโธปิดิกส์มีลักษณะเป็นอย่างไร? หลักๆเลยคือต้องมีส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้า
รองเท้าสุขภาพมักถูกมองว่าเป็นสินค้าของผู้สูงอายุ
พื้นรองเท้าแตะสุขภาพของ Klas & Sylph นั้น มีความหนาอยู่ 3 ระดับ คือ บาง กลาง หนา
ความหนาของพื้นรองเท้า จะมีความสัมพันธ์กับ ความยืดหยุ่นของพื้นบริเวณหน้าเท้า โดยตรง และบ่งบอกถึงความสามารถในการดูดซับแรงกระแทกที่เกิดขึ้นจากการเดิน ดังนี้
- พื้นบาง (รหัสรุ่นพื้น: KS-1) จะมีความยืดหยุ่นบริเวณหน้าเท้าสูงที่สุด สามารถโค้งงอตามความเคลื่อนไหวของนิ้วเท้าได้ดีที่สุด แต่จะมีความสามารถในการดูดซับแรงกระแทกที่เกิดจากการเดินได้น้อยที่สุด เมื่อเทียบกับพื้นรุ่นอื่น ๆ
- พื้นหนาปานกลาง (รหัสรุ่นพื้น: KS-2) จะมีความยืดหยุ่นบริเวณหน้าเท้าดีปานกลาง สามารถโค้งงอตามความเคลื่อนไหวของเท้าได้ดีปานกลาง และสามารถดูดซับแรงกระแทก/สะเทือน จากการเดินได้ดีปานกลาง
- พื้นหนา (รหัสรุ่นพื้น: KS-2.2) จะมีความยืดหยุ่นบริเวณหน้าเท้าน้อยที่สุด แต่มีความสามารถดูดซับแรงกระแทกหรือแรงสะเทือนที่เกิดจากการเดินมากที่สุด
การเลือกความหนาของพื้นรองเท้านั้น ควรสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ประจำวัน หรือพื้นผิวที่เดินบ่อย ๆ ของแต่ละท่าน เช่น
(1) ถ้าในแต่ละวัน ต้องมีการเดินเยอะ ๆ บนพื้นผิวขรุขระ ควรเลือกรุ่นที่มีพื้นหนาปานกลาง หรือพื้นหนา
(2) หากต้องมีการนั่งยอง ๆ ย่อเขา บ่อย ๆ (เช่น ทำสวน)ในกรณีเช่นนี้ พื้นบางจะเหมาะสมที่สุด
(3) หรือถ้าในชีวิตประจำวัน ได้เดินบนพื้นเรียบปกติ ไม่ต้องมีการเขย่ง หรือนั่งยอง ๆ หรือย่อตัวมาก พื้นหนาระดับกลางก็จะเหมาะสมที่สุด
อย่างไรก็ตาม นอกจากความหนาของพื้นแล้ว ผู้ใส่ควรคำนึงถึงความหนาแน่นของพื้นด้วย ทุกวันนี้มีแบรนด์รองเท้าที่ผลิตรองเท้าพื้นหนาออกมาวางจำหน่ายมากมาย แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าพื้นรองเท้าที่มีความหนาจะช่วยดูดซับแรงกระแทกจากการเดินได้ดีทุกคู่ทุกแบรนด์ ถ้าพื้นรองเท้ามีความหนาแต่มีความหนาแน่นต่ำ ความสามารถในการดูดซับแรงกระแทกนั้นก็จะน้อยลงไปด้วย
ในขณะเดียวกัน หากพื้นรองเท้าที่บางกว่ามีความหนาแน่นของพื้นรองเท้าที่สูงกว่า ความสามารถในการดูดซับแรงกระแทกนั้น ก็อาจจะดีกว่ารองเท้าพื้นหนา ๆ ที่มีความหนาแน่นต่ำก็เป็นได้
ในทางกลับกัน หากพื้นรองเท้ามีความหนาแน่นมากเกินไป ก็จะทำให้หนักและรู้สึกแข็งกระด้างเวลาเดิน และอาจจะทำให้เจ็บเท้าไม่ต่างจากการเดินเท้าเปล่าบนพื้นคอนกรีตเท่าไหร่ ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ความสามารถในดูดซับแรงกระแทกก็จะต่ำไปด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่า ทาง Klas & Sylph ได้ทำการวิจัยทดลองศึกษามาอย่างถี่ถ้วน กว่าจะได้สูตรพื้นรองเท้า Klas & Sylph ที่มีความนุ่ม ความยืดหยุ่น และความหนาแน่นที่ไม่มาก (ไม่แข็ง) ไม่น้อย (ไม่กลวง) จนเกินไป ผสมผสานกันอย่างลงตัว จนได้เป็นพื้นรองเท้าที่มีความสามารถในการดูดซับแรงกระแทกที่ดีเยี่ยม และมีความยืดหยุ่นและนุ่มสบายอย่างไม่น่าเชื่อ ^^
ในหน้า “สินค้า” แต่ละรุ่น เรามีระบุความหนาของพื้นรองเท้ารุ่นนั้นๆไว้ด้วย ดังนั้น ท่านสามารถตรวจสอบรายละเอียดของสินค้าก่อนที่จะดำเนินการสั่งซื้อได้ว่า มีความหนาของพื้นตามที่ท่านต้องการหรือไม่นะคะ
รองเท้าสุขภาพที่ดี คือรองเท้ามีมีคุณสมบัติที่เอื้อให้การเคลื่อนไหวของเท้าเวลาเดินเป็นธรรมชาติมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณนิ้วเท้า ที่มีการโค้งงอมากที่สุดเวลาเดิน รองเท้าที่แข็งและไม่มีความยืดหยุ่นบริเวณนิ้วเท้า จะทำให้เราต้องออกแรงเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณนิ้วเท้าและเอ็นร้อยหวายมากขึ้นเวลาเดิน และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดฝ่าเท้า และ/หรือ เอ็นร้อยหวาย อันเนื่องมาจากกล้ามเนื้ออักเสบได้ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องเดินเป็นเวลานานๆ
แต่เนื่องจากพื้นรองเท้าของ Klas & Sylph นั้นมีความยืดหยุ่นสูงมากผู้ที่สวมใส่รองเท้า Klas & Sylph ไม่จำเป็นต้องทนหรือกังวลเกี่ยวกับอาการปวดเท้า ปวดกล้ามเนื้อบริเวณเอ็นร้อยหวายอีกต่อไป
นับเป็นเรื่องปกติ ที่เราจะทิ้งน้ำหนักตัวลงเท้าไม่เท่ากันทั้ง 2 ข้างเวลาเดิน แม้กระทั่งเวลาเรายืน บางครั้งเรายังทิ้งน้ำหนักตัวไม่เท่ากันเลย (เช่น การยืนพักขา) พื้นรองเท้าที่ดีจึงควรมีคุณสมบัติ “คืนรูป” หรือก็คือ คืนตัวกลับขึ้นมา ไม่ยุบ ไม่จม ไม่บาน ตามแรงกดและการทิ้งน้ำหนัก (ที่ไม่เท่ากัน) ของร่างกาย พื้นที่มีคุณสมบัติ “คืนรูป” ได้ จึงช่วยให้เกิดความมั่นคงในการเดินอย่างต่อเนื่อง
พื้นรองเท้าบางยี่ห้ออาจจะใส่นุ่มใส่ช่วงแรกๆ แต่ใส่ไปใส่มาพื้นรองเท้ากลับยุบยวบลงไปเรื่อย ๆ การที่เราใส่รองเท้าที่ไม่มีคุณสมบัติ “คืนรูป” เช่นนี้ อาจทำให้เราเสียสมดุลของร่างกายเราไปอย่างช้าๆโดยที่เราไม่รู้ตัว การที่ธรรมชาติเราทิ้งน้ำหนักตัวไม่เท่ากันทั้ง 2 ข้าง จะทำให้รองเท้าที่ไม่มีคุณสมบัติ “คืนรูป” ยุบตัวไม่เท่ากัน และเมื่อเวลาผ่านไป ก็จะกลายเป็นเหมือนว่า เรายืนหรือเดินอยู่บนระนาบที่ไม่เท่ากันเป็นประจำ แนวกระดูกข้อต่อของเราก็จะค่อย ๆ บิดเบี้ยวไปด้านใดด้านหนึ่ง และนั่นก็อาจนำมาซึ่งอาการปวดเมื่อย ปวดข้อ ปวดหลัง ปวดคอ และปวดข้อต่างๆได้
ทาง Klas & Sylph ได้ตระหนักถึงความสำคัญตรงนี้ เราจึงพัฒนาพื้นรองเท้าของ Klas & Sylph ให้มีคุณสมบัติ “คืนรูป” โดยใช้วัตถุดิบที่เรียกว่า Polyeurethane (PU) ที่นำเข้าจากประเทศเยอรมนีที่มีคุณภาพดีที่สุด โดยนำมาผสมใหม่ด้วยสูตรเฉพาะของ Klas & Sylph เองในการผลิตพื้นรองเท้า ทำให้ได้พื้นรองเท้าที่มีความนุ่มที่แน่นกระชับ สามารถรองรับแรงกดทับของร่างกายได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าผู้สวมใส่จะมีน้ำหนักเท่าใด อีกทั้งพื้นรองเท้ายังมีน้ำหนักเบาและมีความคงทนสูง โดยมีอายุการใช้งานอย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป
Klas & Sylph มีรองเท้าแตะสุขภาพสำหรับผู้หญิงหลายรุ่น โดยจำแนกเป็นความหนาและระดับความนูนของส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้า ตามตารางสรุปดังนี้
สำหรับคอมโบ [ระดับความนูนของส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้า + ความหนาของพื้น] ที่ไม่มีระบุอยู่ในตาราง เรายังไม่สามารถบอกได้ว่าเราจะมีพัฒนาเพิ่มเติมขึ้นมาเพิ่มเมื่อไหร่ แต่หากพัฒนาขึ้นมาเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ เราจะรีบแจ้งให้ท่านทราบผ่านทาง แบรนด์เพจทาง Facebook และ Instagram โดยทันทีค่ะ
นอกเหนือจากพื้นรองเท้าและพื้นยางใต้รองเท้าที่ต้องใช้เครื่องจักรช่วยในการผลิต การผลิตรองเท้า Klas & Sylph ในส่วนอื่นๆเป็นผลผลิตงานหัตถกรรมของมนุษย์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการตัดเย็บ การห่อพื้น การประกอบ หรือการตกแต่ง ทั้งนี้เป็นเพราะรองเท้า Klas & Sylph เป็นสินค้าพิเศษที่มีรายละเอียดหลายมิติ ซึ่งซับซ้อนเกินกว่าที่เครื่องจักรปัจจุบันจะสามารถผลิตได้ รองเท้า Klas & Sylph จึงมีคุณภาพงานที่เป็นเอกลักษณ์ อันเป็นคุณสมบัติเฉพาะของสินค้า “แฮนด์เมด” และเป็นสิ่งที่ท่านจะสามารถสัมผัสและรับรู้ได้ด้วยตัวของท่านเอง :)
พื้นรองเท้าของเราทำจากวัตถุดิบที่เรียกว่าโพลียูรีเทน (polyurethane) ที่มีคุณภาพดีที่สุด เป็นวัตถุดิบนำเข้ามาจากเยอรมันที่นำมาผสมอีกทีตามสูตรพิเศษเฉพาะของ Klas & Sylph ทำให้เกิดเป็นพื้นรองเท้าที่มีความนุ่มสบาย มีความยืดหยุ่นสูง และมีความทนทานอย่างมาก นอกจากนี้ ยังให้คุณสมบัติ “คืนรูป” ซึ่งช่วยให้เกิดความมั่นคงในการเดินอย่างต่อเนื่อง อันเป็นคุณสมบัติที่รองเท้ายี่ห้ออื่นส่วนใหญ่ในท้องตลาดไม่มีอีกด้วย
ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในเนื้อหาส่วนสุดท้ายในหน้า “ประโยชน์ต่อสุขภาพ” และ/หรือ คำตอบของคำถามพบบ่อยต่อไปนี้ค่ะ
วัตถุดิบหลักๆที่เราใช้ทำ หนังหน้า (upper) ของรองเท้า Klas & Sylph มีดังนี้
- หนังวัวแท้ เช่น หนังนุ่มนัปป้า หนังกลิตเตอร์ หนังขนพิมพ์ลายเสือดาว หนังเคลือบฟอยล์ และ หนังสั่งทำพิเศษ
- ไมโครไฟเบอร์เคลือบแก้ว – ไม่เหมือนผ้าพียู หรือ ผ้าพีวีซี เพราะเป็นเป็นวัตถุดิบที่ดีกว่ามาก เพราะทนแดดทนฝน และมีอายุการใช้มากกว่า 3 ปี (ในขณะที่ผ้าพียู หรือ ผ้าพีวีซี ใช้ไปไม่นานผิววัตถุดิบก็เริ่มลอกแล้ว)
- ผ้าชนิดต่างๆที่ใช้ในการเสริมประดับตกแต่ง
ส่วนวัตถุดิบที่เราใช้เป็น ผ้าบุใต้หนังหน้า (upper lining) ของรองเท้า Klas & Sylph มีดังนี้
- ไมโครไฟเบอร์ผิวขน (microsuede) เพราะมีความคงทน และมีความนุ่มสบายต่อผิวมาก
- ผ้าประดาน้ำ (neoprene) จะใช้กับหนังหน้าของรองเท้าผู้ชาย เพราะมีความนุ่มและถ่ายเทอากาศได้ดีมาก เหมาะกับรองเท้าผู้ชายที่มีชิ้นส่วนของหนังหน้าเป็นชิ้นใหญ่
ผ้าบุพื้นรองเท้า (sock lining) ของรองเท้า Klas & Sylph ทำมาจากผ้าวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า ไมโครไฟเบอร์ ซึ่งเราใช้อยู่ 2 ชนิด คือ (1) ไมโครไฟเบอร์ผิวขน และ (2) ไมโครไฟเบอร์ผิวเรียบ
ไมโครไฟเบอร์ผิวขนที่มีผิวสัมผัสคล้ายหนังกลับมาก แต่ดีกว่าหนังกลับตรงที่สามารถโดนน้ำได้โดยที่ไม่หดตัวหรือแข็งกระด้างขึ้น อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับไมโครไฟเบอร์ผิวเรียบ (ที่มีผิวสัมผัสคล้ายหนังนุ่มนัปป้า) แล้ว ท่านจะต้องหมั่นทำความสะอาดบ่อยกว่า เพื่อที่จะสามารถขจัดคราบสกปรกได้ง่ายขึ้น (เปรียบได้กับการดูแลรักษาเสื้อผ้าของเรา หากเราทำความสะอาดถี่หน่อย คราบสกปรกก็จะออกง่ายขึ้นโดยไม่ต้องขัดแรงให้เนื้อผ้าเสีย)
ในทางกลับกัน หากท่านไม่สะดวกที่จะทำความสะอาดรองเท้าบ่อยๆ ท่านสามารถเลือกวัสดุบุพื้นรองเท้าเป็นไมโครไฟเบอร์ผิวเรียบ เวลาสั่งซื้อสินค้าแทนค่ะ
ไมโครไฟเบอร์ผิวขน จะมีผิวสัมผัสคล้ายหนังกลับ จึงให้ความรู้สึกที่นุ่มสบายมากกว่า แต่ถ้าเทียบกับไมโครไฟเบอร์ผิวเรียบแล้ว จะต้องหมั่นทำความสะอาดบ่อยกว่า (ทำความสะอาดทุกๆ 2-3 วัน หรือ เมื่อเริ่มมีคราบสกปรก)
ในทางกลับกัน ไมโครไฟเบอร์ผิวเรียบ จะมีผิวสัมผัสคล้ายหนังนุ่มผิวเรียบ ซึ่งแม้จะให้ความรู้สึกที่นุ่มสบายน้อยกว่าไมโครไฟเบอร์ผิวขน แต่การดูแลรักษาทำความสะอาดทำได้ง่ายกว่า เพียงใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาด หรือ ทิชชู่เปียกที่มีขายตามซูเปอร์มาร์เก็ต เช็ดทำความสะอาดก็เพียงพอแล้ว
ท่านสามารถอ่านรายละเอียดวิธีทำความสะอาดรองเท้า Klas & Sylph ได้ที่หน้า ‘วิธีทำความสะอาด‘ ค่ะ
ส่วนใต้พื้นรองเท้า (outsole) ของรองเท้า Klas & Sylph ทำมาจากยางพาราของไทย และเป็นวัตถุดิบที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ จึงดีต่อสิ่งแวดล้อม
รองเท้า Klas & Sylph เกาะพื้นได้ดีมาก (ไม่ลื่น) เพราะส่วนใต้พื้นรองเท้านอกจากจะทำจากยางพารา ซึ่งให้แรงเสียดทาน (friction) ที่ดีแล้ว ยังมีดอกยางที่มีลวดลายที่ออกแบบมาเป็นอย่างดี เพื่อให้เกาะกับพื้นถนนได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เพราะว่ารองเท้า Klas & Sylph มีแรงเสียดทานที่ดีมาก ท่านจึงควรหลีกเลี่ยงการใส่เดินบนพื้นพรม เพราะอาจจะทำให้ท่านสะดุดได้
หมายเหตุ: รองเท้า Klas & Sylph เป็นรองเท้าสุขภาพเพื่อการเดินปกติ และไม่ใช่รองเท้ากีฬา ฉะนั้น จึงไม่เหมาะกับการใส่เพื่อใช้วิ่ง
ปัจจัยที่ส่งผลต่ออายุการใช้งานของรองเท้า Klas & Sylph มีอยู่ 2 ปัจจัย คือ
- การใช้งาน
- อายุขัยของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต
แน่นอนว่า สินค้าใดๆก็ตามในโลกนี้ ล้วนมีอายุงานที่จำกัดเสมอ รองเท้า Klas & Sylph ก็เช่นกัน โดยส่วนที่จะเสื่อมสภาพก่อนส่วนอื่นก็คือส่วนของพื้นยางใต้รองเท้า (outsole) ที่ยิ่งใส่เดินเยอะ ก็ยิ่งสึกเร็ว (เปรียบได้กับยางรถยนต์ ที่ยิ่งขับเยอะ ก็ยิ่งสึกเร็ว) ดังนั้น เราไม่สามารถประมาณการอายุงานของพื้นยางใต้รองเท้าเป็นหน่วยเวลาได้
ถามว่าพื้นยางถ้าดอกยางจางหายหมดแล้ว ยังสามารถใช้รองเท้าต่อได้หรือไม่? คำตอบคือสามารถใส่ต่อไปได้ แต่ความสามารถในการเกาะพื้นถนนจะด้อยลงไป เพราะไม่มีดอกยางมาช่วยเพิ่มแรงเสียดทาน
ถามว่า ถ้าพื้นยางสึกจดหมด หรือ เกือบหมด จนส่วนของพื้นรองเท้าที่เราใช้เหยียบ (midsole) สัมผัสกับพื้นถนนโดยตรงแล้ว จะยังสามารถใส่รองเท้าต่อไปได้หรือไม่? คำตอบคือ หากเป็นเช่นนั้น มันก็ถึงเวลาอันสมควรที่ท่านควรจะซื้อรองเท้าคู่ใหม่ได้แล้ว เพราะการที่รองเท้ามีสภาพเป็นเช่นนั้น ไมโครไฟเบอร์ที่ใช้บุพื้นรองเท้า (sock lining) จะมีการสัมผัสเสียดสีกับพื้นถนนโดยตรง และจะขาดออกมาในที่สุด ซึ่งดูไม่สวยงามเอาเลยทีเดียว
และแน่นอนว่า เราไม่สามารถทำการเปลี่ยนพื้นยางให้ท่านได้ เพราะกระบวนการผลิตของเรา ได้ทำให้พื้นยางกับพื้นรองเท้าหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน หากฝืนแยกพื้นยางกับพื้นรองเท้าออกจากกัน จะทำให้พื้นรองเท้าส่วนที่ใช้เหยียบเสียไปด้วย จนไม่สามารถใช้งานได้อีก
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของพื้นรองเท้าที่เราใช้เหยียบ (midsole) ที่ทำมาจาก polyurethane นั้น จะมีอายุงานอย่างน้อยที่สุด 3 ปี นับจากวันที่ท่านซื้อ ในระหว่างนี้ ท่านสามารถมั่นใจได้ว่า พื้นรองเท้าจะไม่ยุบ ไม่จม ไม่บาน ไม่ทำให้ท่านเสียสมดุลในการเดินไปอย่างแน่นอน
คำเตือน: กรุณาเก็บรองเท้าของท่านให้ห่างไกลจากสัตว์เลี้ยง เนื่องจากที่ผ่านมามีลูกค้าบางท่านที่มีสัตว์เลี้ยงคาบรองเท้าไปกัดเล่นจนขาด ในกรณีเช่นนี้ เราไม่สามารถให้ความช่วยเหลือใดๆกับท่านๆได้ และรองเท้าที่ท่านซื้อไปก็ถือว่าสิ้นอายุงานไปโดยประยาย :(
ทางบริษัทรับผลิตรองเท้าออเดอร์พิเศษในกรณีต่อไปนี้
- สีพิเศษ: หากรุ่นที่ท่านต้องการไม่มีสีที่ท่านต้องการ ท่านสามารถสั่งทำเป็นกรณีพิเศษได้ โดยเลือกจากสีที่ทางแบรนด์มีให้ (ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนสีหนัง หรือเปลี่ยนสีผ้าบุพื้นรองเท้า) การสั่งทำรองเท้าออเดอร์พิเศษในลักษณะนี้ สามารถสั่งทำได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมใดๆ
- วัสดุบุพื้น: ท่านสามารถเลือกเปลี่ยนวัสดุบุพื้นที่แตกต่างจากวัสดุบุพื้นมาตรฐานตามที่ระบุไว้ในหน้าสินค้าแต่ละรุ่น การเปลี่ยนวัสดุบุพื้นจะถือเป็นออเดอร์พิเศษ ที่ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมใด ๆ
- ไซส์พิเศษ: ทางเรารับออเดอร์ไซส์พิเศษหลายกรณี
- เท้าเล็ก ต้องปรับไซส์ลง เช่น ความยาวพื้นรองเท้าไซส์ 37 แต่หลังเท้าผอม ใส่แล้วหลวม ต้องปรับฟิตติ้งเป็นไซส์ 35 เป็นต้น
- เท้าอวบ ต้องปรับไซส์ขึ้น เช่น ความยาวพื้นรองเท้าไซส์ 37 แต่เท้าอวบ ใส่แล้วคับ ต้องปรับฟิตติ้งเป็นไซส์ 39 เป็นต้น
- เท้าสองข้างฟิตติ้งไม่เท่ากัน เช่น ความยาวพื้นรองเท้าไซส์ 37 แต่ข้างซ้ายอวบกว่าข้างว่า ต้องสั่งฟิตติ้ง ข้างซ้ายไซส์ 38 และ ข้างขวาไซส์ 37 เป็นต้น
- ขาสองข้างยาวไม่เท่ากัน เช่น ต้องสั่งข้างหนึ่งพื้นหนา อีกข้างพื้นหนาระดับกลาง ในกรณีนี้จะมีค่าใช้จ่ายเพิมเติม หรือไม่ได้รับส่วนลดจากราคาพิเศษที่ขายอยู่
** หมายเหตุ: รองเท้าสั่งทำพิเศษ จะไม่สามารถเปลี่ยน คืน หรือ แก้ไขได้ในทุกกรณี **
ในกรณีที่สั่งทำรองเท้าออเดอร์สั่งทำพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นสี ไซส์ หรือฟิตติ้งพิเศษ ทางบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยน คืน หรือ แก้สินค้า ไม่ว่าจะกรณีใดก็ตาม
เรามีบริการจัดส่งไปรษณีย์ไปยังทุกที่ทุกจังหวัดในประเทศไทยค่ะ :)
การที่ใส่รองเท้าแตะที่เป็นหูคีบแล้วเจ็บนิ้วเท้านั้น มีสาเหตุที่เป็นไปได้อยู่หลายสาเหตุ เช่น ปัญหาเรื่องวัตถุดิบที่ใช้ทำหูคีบ ความหนาของหูคีบ และ ความบอบบางของผิวของผู้สวมใส่
ในส่วนของวัตถุดิบที่ใช้ทำหูคีบ หากวัตถุดิบมีความแข็งกระด้างเกินไป จะทำให้เกิดการเสียดสีมากเกินควร ซึ่งจะทำให้เกิดอาการเจ็บนิ้วเท้า และแน่นอนว่าเราเข้าใจดีถึงจุดนี้ เราจึงเลือกใช้วัตถุดิบที่มีความนุ่มละมุนต่อผิวมากที่สุดในการทำหูคีบ และวัตถุดิบนั้นก็คือ ไมโครไฟเบอร์แบบผิวขน นั่นเอง
ในส่วนของความหนาของหูคีบ หากหูคีบมีความหนาเกินไป ก็ทำให้นิ้วเท้าถูกง้างออกมากเกินไป และทำให้เกิดการเสียดสีกับนิ้วเท้ามากเกินความจำเป็นด้วย ดังนั้นเราจึงออกแบบให้หูคีบมีความหนาน้อยที่สุด ในขณะที่ยังต้องมีความคงทน ไม่ขาดง่าย
อย่างไรก็ตาม ก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน ที่ผู้สวมใส่จะมีผิวที่บอบบางกว่าปกติ ในกรณีเช่นนี้ เราจะแนะนำให้ท่านเลือกใช้รองเท้าแตะแบบสวมแทนค่ะ
ทางเรามีบริการจัดส่งสินค้าฟรี สำหรับการสั่งซื้อสินค้าที่มียอดรวมตั้งแต่ 1,390 บาทขึ้นไป
ยอดสั่งซื้อที่ต่ำกว่า 1,390 บาท ลูกค้าจะต้องชำระค่าไปรษณีย์ตามอัตราที่ระบุไว้ในหน้าตะกร้าสินค้า (cart)
สินค้าที่มีของพร้อมส่ง จะถูกจัดส่งภายใน 1-3 วันทำการ
สินค้าออเดอร์สั่งผลิตและออเดอร์สั่งพิเศษ จะใช้เวลาผลิต 5-7 วันทำการ และจะถูกจัดส่งหลังผลิตเสร็จทันทีที่ผลิตเสร็จ
สำหรับที่อยู่ในกรุงเทพ และปริมณฑล
หลังจากที่ทางเราได้แจ้งรหัสการส่งพัสดุ (Tracking Number) ให้กับท่านแล้ว
ท่านจะได้รับสินค้าตามที่อยู่ที่ท่านแจ้งไว้ ภายใน 1-2 วันทำการ
สำหรับที่อยู่ต่างจังหวัด
หลังจากที่ทางเราได้แจ้งรหัสการส่งพัสดุ (Tracking Number) ให้กับท่านแล้ว
ท่านจะได้รับสินค้าตามที่อยู่ที่ท่านแจ้งไว้ ภายใน 2-3 วันทำการ
ท่านสามารถอ่านรายละเอียดวิธีการชำระเงินค่าสินค้าวิธีต่าง ๆ ได้ใน หน้านี้ ค่ะ
PayPal คือ หนึ่งในบริการชำระเงินออนไลน์ที่เป็นที่รู้จักและได้รับการไว้วางใจมากที่สุดในโลก เป็นบริการที่ทำให้ท่านสามารถชำระค่าสินค้าด้วยบัตรเดบิต หรือ บัตรเครดิต ด้วยความปลอดภัยค่ะ
ในการใช้บริการ PayPal เพื่อชำระค่าสินค้า หากท่านไม่ได้มีบัญชี PayPal อยู่แล้ว ท่านจะต้องเปิดบัญชีกับ Paypal ก่อน โดยท่านสามารถอ่านรายละเอียดวิธีการได้ ที่นี่
ท่านสามารถชำระค่าสินค้าได้ด้วยบัตรเดบิต หรือ บัตรเครดิต ผ่านบริการชำระเงินออนไลน์ PayPal โดยท่านจะไม่เสียค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมใดๆ (นอกเหนือไปจากค่าธรรมเนียมการใช้บัตร ที่ธนาคารผู้ออกบัตรให้ท่านจะเรียกเก็บ)
ท่านสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการชำระเงินออนไลน์ของ PayPal ได้ ที่นี่
หากท่านเป็นสมาชิกบัตรเครดิตเครือกสิกรไทย (KBANK) ท่านสามารถเลือกชำระค่าสินค้าด้วยวิธี “ผ่อนชำระรายเดือน” ได้ โดยท่านจะได้รับสิทธิพิเศษผ่อนชำระค่าสินค้า 0% เมื่อมียอดซื้อขั้นต่ำดังนี้
- ซื้อครบ 3,000 บาท ต่อ 1 ใบเสร็จ = ผ่อน 0% นาน 3 เดือน
- ซื้อครบ 6,000 บาท ต่อ 1 ใบเสร็จ = ผ่อน 0% นาน 6 เดือน
- ซื้อครบ 10,000 บาท ต่อ 1 ใบเสร็จ = ผ่อน 0% นาน 10 เดือน
หากยอดซื้อของท่านน้อยกว่ายอดซื้อขั้นต่ำตามที่ระบุไว้ข้างต้น ท่านสามารถเลือกผ่อนชำระรายเดือนเป็นระยะเวลาสูงสุด 10 เดือน ด้วยอัตราดอกเบี้ย 0.8% ต่อเดือน ได้เช่นกัน
เงื่อนไขและข้อกำหนดการใช้บริการผ่อนชำระรายเดือน
- สิทธิ์การผ่อนชำระรายเดือน เป็นสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเครือกสิกรไทยเท่านั้น
- ท่านสามารถใช้บริการผ่อนชำระรายเดือน เมื่อท่านซื้อสินค้าที่หน้าร้านสาขา Terminal 21 และ เซ็นทรัลลาดพร้าว เท่านั้น (คลิกเพื่อดู ที่ตั้งร้านค้า)
- ยอดซื้อที่ร่วมรายการผ่อนชำระรายเดือนนี้ จะไม่ได้รับสิทธิ์จากรายการส่งเสริมการขายอื่น ๆ นอกเหนือจากโปรโมชั่นส่วนลดปกติที่มีผล ณ ขณะนั้นได้
- ท่านจะต้องแจ้งพนักงานเพื่อขอใช้สิทธิ์ผ่อนชำระดอกเบี้ย 0% ก่อนชำระค่าสินค้า
- หากท่านเลือกชำระค่าสินค้าด้วยวิธีผ่อนชำระรายเดือนไปแล้ว ท่านจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรายละเอียดหรือยกเลิกการผ่อนชำระได้
- หากท่านเลือกชำระค่าสินค้าแบบปกติด้วยบัตรเครดิต ที่มิได้เป็นการผ่อนชำระรายเดือนไปแล้ว ท่านจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบการชำระเงินมาเป็นการผ่อนชำระรายเดือนได้
- สินค้าที่ชำระด้วยวิธีผ่อนชำระรายเดือนจะไม่สามารถขอคืนเงินได้ ในทุกกรณี
- ทางแบรนด์ของสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขรายละเอียดการผ่อนชำระรายเดือนโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
ท่านสามารถตรวจสอบว่าทางเราได้รับการชำระเงินรึยัง ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
- เข้าสู่ระบบบัญชีผู้ใช้ แล้วคลิกที่แถบคำสั่ง ‘ตรวจสอบคำสั่งซื้อ’ ท่านจะเห็น ‘สถานะ’ ของคำสั่งซื้อต่างๆของท่าน ซึ่งหากการชำระเงินเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย ‘สถานะ’ จะขึ้นว่า “Completed” ในขณะที่ถ้าท่านยังไม่ได้ทำการชำระเงิน (หรือทางเรายังทำการตรวจสอบการโอนเงินของท่านอยู่ ในกรณีที่ท่านเลือกชำระเงินโดยการโอนเงินผ่านธนาคาร) ‘สถานะ’ จะขึ้นว่า “Pending Payment” (หมายเหตุ: หากท่านเลือกชำระเงินโดยการโอนเงินผ่านธนาคาร ท่านจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง ‘สถานะ’ โดยทันที เนื่องจากท่านจะต้องแจ้งให้เราทราบถึงการโอนเงินของท่าน พร้อมแจ้งเลขที่สั่งซื้อ (Order ID) และแสดงหลักฐานการชำระเงินให้เราทราบเสียก่อน เราจึงจะทำการอัพเดท ‘สถานะ’ คำสั่งซื้อของท่านได้)
- เมื่อท่านทำการชำระเงินเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย (และทางเราได้ทำการยืนยันการชำระเงินของท่านเป็นที่เรียบร้อย) ท่านจะได้รับอีเมล์ยืนยันการชำระเงินจากเราทุกครั้ง
ท่านสามารถเติมเครดิตเข้าบัญชีผู้ใช้ของตัวเองเพื่อใช้ในการชำระค่าสินค้าได้ โดยท่านจะต้องทำการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของเร เป็นจำนวนเงินเท่ากับจำนวนเครดิตที่ท่านต้องการจะเติม (1 เครดิต = 1 บาท) โดยทุก ๆ ครั้งที่ท่านทำการเติมเครดิต ท่านจะได้รับเครดิตโบนัส เป็นมูลค่าตามสรุปในตารางด้านล่างนี้
จำนวนเครดิตขั้นต่ำที่ท่านเติม | เครดิตโบนัส | จำนวนเครดิตทั้งหมดที่ท่านจะได้รับ |
---|---|---|
1,500 บาท | 100 บาท | 1,600 บาท |
2,500 บาท | 200 บาท | 2,700 บาท |
5,000 บาท | 500 บาท | 5,500 บาท |
คำเตือน: เครดิตในบัญชีผู้ใช้ของท่านจะไม่สามารถแลกหรือแลกกลับคืนมาเป็นเงินสดได้
กรุณาอ่านรายละเอียดการรับประกันสินค้าของ Klas & Sylph ที่หน้า ‘การรับประกันสินค้า‘ ค่ะ
ท่านสามารถเลือกชำระค่าสินค้าด้วยเครดิตในบัญชีผู้ใช้ของท่านในหน้า “ชำระเงิน”
กรุณาอ่านรายละเอียดการรับประกันสินค้าของ Klas & Sylph ที่หน้า ‘การรับประกันสินค้า‘ ค่ะ
กรุณาอ่านรายละเอียดการรับประกันสินค้าของ Klas & Sylph ที่หน้า ‘การรับประกันสินค้า‘ ค่ะ
กรุณาอ่านรายละเอียดการขอใช้บริการซ่อมสินค้าหลังจากที่ประกันสินค้าหมดอายุ ที่หน้า ‘การรับประกันสินค้า‘ ค่ะ
ท่านสามารถอ่านรายละเอียดวิธีทำความสะอาดรองเท้า Klas & Sylph ได้ที่หน้า ‘วิธีทำความสะอาด‘ ค่ะ
วัสดุที่ใช้ทำผ้าบุพื้นรองเท้าของ Klas & Sylph นั้น เรียกว่า ไมโครไฟเบอร์ ซึ่งมีอยู่ 2 ประเภท คือ (1) แบบผิวขน และ (2) แบบผิวเรียบ
ไมโครไฟเบอร์เป็นผ้าวิทยาศาสตร์ที่มีความคงทนสูง (เทียบเท่าหนังแท้) และเพราะว่าเป็นผ้า จึงสามารถโดนน้ำได้ ซักล้างทำความสะอาดได้
ไมโครไฟเบอร์ผิวขนมีผิวสัมผัสคล้ายหนังกลับมาก แต่ดีกว่าตรงที่สามารถโดนน้ำได้โดยที่ไม่หดตัวหรือแข็งกระด้างขึ้น อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับไมโครไฟเบอร์ผิวเรียบ (ที่มีผิวสัมผัสคล้ายหนังนุ่มผิวเรียบ) แล้ว ท่านจะต้องหมั่นทำความสะอาดบ่อยกว่า เพื่อที่จะสามารถขจัดคราบสกปรกได้ง่ายขึ้น (เปรียบได้กับการดูแลรักษาเสื้อผ้าของเรา หากเราทำความสะอาดถี่หน่อย คราบสกปรกก็จะออกง่ายขึ้นโดยไม่ต้องขัดแรงให้เนื้อผ้าเสีย) แต่หากท่านไม่สะดวกที่จะทำความสะอาดรองเท้าบ่อยๆ ท่านสามารถเลือกวัสดุบุพื้นรองเท้าเป็นไมโครไฟเบอร์ผิวเรียบเวลาสั่งซื้อสินค้าแทนค่ะ
ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หน้า ‘วิธีทำความสะอาด‘ ค่ะ
โดยทั่วไปแล้ว รองเท้าจะมีกลิ่นเหม็นหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆดังต่อไปนี้
- รองเท้าคับไปหรือไม่? – ถ้ารองเท้าคับเกินไป จะทำให้เท้าของท่านเหงื่อออกมากกว่าปกติ และส่งกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ได้ ดังนั้นท่านจึงควรอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับไซส์อย่างถี่ถ้วนก่อนที่ท่านจะสั่งซื้อสินค้า ซึ่งนอกจากจะลดปัญหาเรื่องกลิ่นแล้ว ยังทำให้ท่านรู้สึกสบายเท้าขึ้นด้วยค่ะ
- ท่านเป็นคนเหงื่อที่เท้าออกง่ายหรือไม่? – นับเป็นเรื่องธรรมชาติที่บางคนเหงื่อออกที่เท้าง่าย และแน่นอนว่าเราไม่สามารถไปห้ามร่างกายให้เหงื่อไม่ออกได้ แต่ท่านไหนที่กังวลเรื่องนี้ ก็ไม่ต้องกังวล เพราะวัสดุบุพื้นรองเท้าของ Klas & Sylph นั้น ทำมาจากไมโครไฟเบอร์ ซึ่งมีข้อดีคือ สามารถล้างทำความสะอาดได้ ไม่ว่าจะแบบผิวขนหรือผิวเรียบ (ไม่เหมือนหนังกลับที่โดนนำ้ไม่ได้) ดังนั้น หากรองเท้าของท่านเริ่มมีกลิ่น ท่านสามารถล้างรองเท้าของท่านได้ด้วยน้ำสบู่ แล้วน้ำสบู่จะทำการกำจัดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ของท่านให้เอง
- ท่านไปเดินย่ำน้ำที่ไม่สะอาดมาหรือไม่? แน่นอนว่าบางทีเราเองก็ไม่สามารถที่จะเลี่ยงไม่เดินย่ำน้ำที่ไม่สะอาดได้ แต่ก็อย่างที่แจ้งไปข้างต้น ท่านไม่ต้องกังวล เพราะท่านสามารถล้างทำความสะอาดวัสดุบุพื้นรองเท้า Klas & Sylph ได้ด้วยน้ำสบู่ การกำจัดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์จึงสามารถทำได้ง่าย
ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเกี่ยวกับวิธีการทำความสะอาดรองเท้า Klas & Sylph ได้ ที่นี่ ค่ะ
ถ้าไม่อยากทำความสะอาดบ่อย ๆ กรุณาเลือกรุ่นที่มีหนังหน้า (upper) ที่ทำจากไมโครไฟเบอร์เคลือบแก้ว และมีวัสดุบุพื้นรองเท้าที่เป็นไมโครไฟเบอร์ผิวเรียบ สินค้าที่ใช้วัสดุเหล่านี้จะสามารถลุยน้ำ เปียกน้ำได้ทั้งคู่ และกันฝุ่นติดพื้นได้ดี ทำความสะอาดง่าย ล้างน้ำแล้วเช็ดแห้งได้เลย
หากรุ่นที่ท่านต้องการ ไม่มีสเปคตามนี้ กรุณา ติดต่อเรา เพื่อสั่งทำออเดอร์พิเศษ
ในหน้าสินค้าแต่ละหน้า หากท่านกดปุ่ม “Size Guide” (ปุ่มสีเหลืองที่อยู่เหนือปุ่ม “หยิบใส่ตะกร้า”) ท่านจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับไซส์โดย